ชุมชนไทขาวหรือลาวพุทธ
ณ บ้านทัพคล้าย (Tupklai)
ตำบลทัพหลวง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี
*****************
ข้อมูลเบื้องต้น
ปัจจุบัน ชุมชนทัพคล้ายแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 หมู่บ้าน คือ
1. บ้านทัพคล้าย(หมู่ที่ 2 เดิมคือ บ้านทุ่งนา)
2. บ้านทุ่งนา(หมู่ที่ 6 เดิมคือ บ้านทัพคล้ายหรือบ้านใหญ่)
3. บ้านป่าบัว(หมู่ที่ 9 เดิมคือ บ้านป่าบัว)
4. บ้านภูจวง(หมู่ที่ 14 เดิมคือ บ้านเย่อ)
นับถือศาสนา : ศาสนาพุทธ
อาชีพ : ทำนา ทำไร่และทำสวน
ชุมชนทัพคล้าย : เรียกขานชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านทัพคล้าย” แต่เรียกขานนามชุมชนว่า “ชาวทัพค่ายหรือชุมชนไทขาว(ลาวพุทธ)แห่งอำเภอบ้านไร่” มีวัด หลวงปู่ยอด หอเจ้านาย และโรงเรียนเป็นศูนย์รวมจิตใจ
เอกลักษณ์
ภาษา : พูดภาษาถิ่นลาวเวียงจันทร์ สำเนียงไทขาว(ลาวพุทธ) ภาษาที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะชุมชน ส่วนภาษาที่ใช้ทั่วไปคือภาษาไทย
การแต่งกาย : ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นตีนแดงใส่เสื้อจากผ้าทอสีขาวหรือคราม ผู้ชายนุ่งกางเกงที่ตัดเย็บจากผ้าทอ และเสื้อที่ตัดเย็บจากผ้าทอทั้งสีขาวและคราม (การแต่งกายทั่วไป : แต่งกายตามสมัยนิยม)
อาหาร : อาหารหลักรับประทานข้าวจ้าว น้ำพริกผักจิ่ม แกงป่า ส่วนข้าวเหนียวใช้ทำขนมรับประทานและนำไปทำบุญ
ดนตรี : แคน ซอ กลองและซึง
การเล่นพื้นบ้าน : กูกคอน จ้ำจี้หมากหมี้หมากมน อ้ายโหม้งปิดตาและหมากรบเมียง
สัญลักษณ์ : ที่บ่งบอกความเป็นลาวพุทธ คือ ผ้าทอ ลายผ้าและฮีตคอง โดยเฉพาะลายบัวเคียที่ปรากฏอยู่บนผ้าห่มเอี้ยห้าและกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ฮีตคองและประเพณี : บวชพระ ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน พานแจก บุญข้าวสาก บุญข้าวจี่ ข้าวประดับดิน เลี้ยงบ้านปิดบ้าน สรงน้ำเจ้าน้อย แห่ช้างดอกไม้ ปลุกทุง ทำต้นดอกไม้ในพรรษา บุญจุลกฐินและลอยกระทง
คติพจน์ : รักสงบ รักสนุก รักษ์วัฒนธรรมและรักยุติธรรม
วิสัยทัศน์ : ชุมชนสามัคคี กินอยู่ดี ด้วยประเพณีและวัฒนธรรม
ดอกไม้ประจำชุมชน : ดอกจำปา
ประวัติ (โดยย่อ)
ตามตำนานเล่าขานกันว่า บรรพบุรุษชาวไทขาวถูกกวาดต้อนมาร่วมกับชาวลาวกลุ่มอื่นๆจากเวียงจันทร์ ประเทศลาว ราวปี พ.ศ. 2321 ในสมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย มีฐานะเป็นเชลยศึก ซึ่งถือว่าเป็นทาสในลำดับที่ ๖ ของไทย
หลังจากสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีได้ประมาณ 4 ปี คือ ปี พ.ศ. 2328 ไทยได้ยกทัพมาต่อต้านทัพพม่าเมื่อครั้งสงครามเก้าทัพ ณ ดินแดนอันเป็นที่ตั้งบ้านทัพคล้ายปัจจุบัน โดยได้เกณฑ์เอาชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมา ทำหน้าที่เป็นลูกหาบและทหารแนวหน้า ครั้นมาถึงพบว่าพม่าได้ทิ้งค่ายถอยทัพกลับไปแล้ว จึงได้หยุดทัพตั้งค่ายรอดูสถานการณ์ระยะหนึ่ง
เมื่อแน่ใจว่าทหารพม่าคงจะไม่กลับมาอีก จึงได้ยกทัพกลับเมืองหลวง ให้ชาวลาวส่วนหนึ่งอาสาอยู่ทำหน้าที่เป็นกองสอดแนมและคอยส่งข่าว โดยมีนายทหารอยู่เป็นหัวหน้า พร้อมพระสงฆ์ 1 รูปมีนามว่าพระยอด
กาลเวลาเนิ่นนานออกไป ประกอบกับนายทหารที่เป็นหัวหน้าได้เสียชีวิตลงทำให้ชาวลาวที่อยู่เป็นกองสอดแนมไม่มีโอกาสได้กลับเมืองหลวงเป็นแน่แท้ จึงได้เลือกผู้อาวุโสในกองสอดแนมคนหนึ่งขึ้นเป็นหัวหน้าแทน และสร้างหอขึ้นทางด้านทิศตะวันออกของค่าย อัญเชิญดวงวิญญาณของนายทหารที่เสียชีวิตสิงสถิตในหอเพื่อให้เป็นที่พึ่งทางใจสำหรับบรรดากองสอดแนมอีกทางหนึ่ง โดยเรียกขานว่า “หอเจ้านาย” ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีปิดบ้านเลี้ยงบ้านจวบจนปัจจุบัน
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้สั่งการให้สร้างเจดีย์และสร้างที่พักของสงฆ์แยกต่างหากจากค่าย เพื่อให้พระยอดอยู่จำพรรษาเป็นที่พึ่งของกองสอดแนมตลอดไป โดยผู้นำค่ายบอกแต่เพียงว่า ”การที่สร้างเจดีย์ขึ้นก็เพราะจะปิดฮูโตเงียกไม่ให้ขึ้นมากินคน” (ความจริงในสมัยรัชกาลที่ ๓ พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ฝ่ายไทยเกรงว่าอังกฤษอาจจะผนวกเอาดินแดนแถบนี้เป็นของพม่าก็เป็นได้ จึงสั่งการให้สร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อประกาศเขตแดนมากกว่า)
ครั้นรัชกาลที่ ๕ ประกาศเลิกทาสเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๗ ทำให้เชลยชาวลาวมีสิทธิ์ในการตั้งถิ่นฐาน ทำมาหากิน เรียนหนังสือ และปฏิบัติตามฮีตคอง ประเพณีของตนได้ แต่ต้องเสียค่าส่วยคนละ ๖ บาทต่อปี
ในปี ๒๔๔๐ รัชกาลที่ ๕ ได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่รัตนโกสินทรศก ๑๑๖ พ.ศ. ๒๔๔๐ ทำให้ค่ายกลายเป็นชุมชนเรียกอาสากองสอดแนมว่า “ชาวทัพค่าย” ผู้เป็นหัวหน้ามีตำแหน่งเป็น “ขุน” ปกครองชาวทัพค่ายชึ้นตรงต่อเมืองหลวงในขณะนั้น ส่วนบริเวณที่สร้างเจดีย์และที่พักของพระยอดจึงมีฐานะเป็นวัดทัพค่ายไปด้วย
ต่อมารัชกาลที่ ๖ ได้ประกาศใช้กฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ แทนพ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่รัตนโกสินทรศก ๑๑๖ พ.ศ. ๒๔๔๐ มีผลทำให้ฐานะของชุมชนทัพค่ายกลายเป็นตำบล ไปอยู่ในปกครองของอำเภอบ้านเชี่ยน จังหวัดไชยนาท สังกัดมณฑลนครสวรรค์ โดยตั้งชื่อตำบลว่า “ทัพหลวง” สำหรับผู้ที่มีวัฒนธรรมภาษาพูดต่างจากไทขาว ได้พากันออกจากค่ายไปตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านในที่ต่างๆ คงเหลือไว้แต่กลุ่มไทขาวอยู่ในค่ายเพียงกลุ่มเดียว และในปี ๒๔๖๘ ได้ตัดพื้นที่ของตำบลทัพหลวง ซึ่งก็คือชุมชนทัพค่ายมาสังกัดอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ครั้นได้ก่อตั้งเป็นชุมชนตามกฎหมายแล้ว ชุมชนทัพค่ายรวมทั้งวัดทัพค่าย จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดและบ้านทัพคล้าย” จวบจนปัจจุบัน
ก่อนหน้าที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ จะอุบัติขึ้นในปี ๒๔๘๒ จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ได้ประกาศยกเลิกค่าส่วยไม่ต้องเสียค่าเชลยคนละ ๖ บาทกอีกต่อไป ชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมารวมถึงชาวไทขาวด้วย จึงได้รับอิสรภาพไม่ต้องตกเป็นเชลยของไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ต้องเรียกขานชื่อชุมชนให้มีคำว่า “ไทย” นำหน้าเพื่อประกาศเขตแดนของไทย ทำให้บ้านทัพคล้าย เรียกขานตนเองว่า “ไททัพคล้าย” จนทำให้ลูกหลานลืมไปว่าบรรพบุรุษของตนเองมีเชื้อสายเป็นลาวในที่สุด
การถูกระงับไม่ให้เรียกตนเองว่า “ลาว” นับแต่ปี ๒๔๘๒ เป็นต้นมา เป็นช่วงเวลาที่บรรพบุรุษไม่สามารถที่จะบอกลูกหลานให้รู้ว่าตนเองคือไทขาวหรือลาวพุทธ ทำได้แต่เพียงถักทอเป็นลายบัวเคียลงไว้ในผืนผ้าเท่านั้น จวบจนเมื่อปี ๒๕๕๓ ท่านผู้รู้ที่เวียงจันทร์เล่าให้ผู้สืบค้น(นายวรวุฒิ ทองสี) เมื่อครั้งตามหาบรรพบุรุษที่มีสำเนียงภาษาพูดอย่างทัพคล้ายที่เวียงจันทร์ จึงได้รู้ว่า สำเนียงที่พูดอย่างทัพคล้ายนี้มีอยู่ที่ประเทศลาวและเวียตนาม ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในกลุ่มลาวลุ่มของประเทศลาว และการที่ได้ชื่อว่าลาวพุทธก็สืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งที่พระเจ้าไชยเชษฐาปกครองเวียงจันทร์ ได้ประกาศให้ประชาชนนับถือพุทธศาสนาแทนการนับถือผี และถือเอาพุทธศาสนาเป็นการประกาศอาณาเขต โดยได้ส่งกลุ่มไทขาวจากเวียงจันทร์ไปอยู่ตามแนวชายแดน และให้เรียกตนเองว่าลาวพุทธนับแต่นั้นเป็นต้นมา จากการตามหาบรรพบุรุษดังกล่าว ทำให้ลูกหลานในปัจจุบันได้รู้ว่าตนคือ “ไทขาวหรือลาวพุทธ” อีกครั้งหนึ่ง
...................................................
หมายเหตุ ในคราวที่ไปตามหาบรรพบุรุษเมื่อปี ๒๕๕๓ ที่เวียงจันทร์ ได้พูดคุยกับท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง(อายุ ๘๐ กว่าปี อดีตครูสอนนักเรียนเมื่อครั้งก่อนจะเกิดสงคราม)ท่านได้ถามว่า “กินเข้ามื่อหยัง” ตอบเพิ่นว่า “กินเข้าเจ้า” ท่านถามต่อว่า “ส่วนเข้าเหนียวปลูกเอาไว้เฮ็ดเหล้าเฮ็ดข้าวหนมกินแม่นบ่อ” ตอบเพิ่นว่า “แม่นแล้ว” ท่านจึงบอกให้ฟังว่า บรรพบุรุษของหลานคงอยู่ในเวียงจันทร์ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เพราะในสมัยนั้นพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ให้ผู้ที่อยู่ในเวียงวังปลูกเข้าเจ้าเอาไว้กินอย่างไทยสำหรับเข้าเหนียวปลูกเอาไว้ประกอบพิธีกรรม คือเอาไว้เฮ็ดเข้าหนม เฮ็ดเหล้า เอาไว้เฮ็ดเข้าหนมในงานบุญในเทศการต่างๆ เมื่อไทยยกทัพมาตีเวียงจันทร์ จึงได้ทืกกวาดต้อนไปพร้อมกับพระแก้วมรกตอย่างแน่นอน ทำให้บ่อกินเข้าเหนียวเป็นหลักนั่นเอง ท่านได้กล่าวไว้ในที่สุด
หลักฐานที่สนับสนุนว่าชาวทัพคล้าย
มาจาก “ประเทศลาว” (เวียงจันทร์และหลวงพระบาง)ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีและถูกเกณฑ์มาต่อต้านพม่าในสมัยพระพุทธยอดฟ้า ณ ดินแดนอันเป็นที่ตั้งบ้านทัพคล้ายในปัจจุบัน
หลักฐานที่บรรพบุรุษของชาวทัพคล้ายรักษาไว้เป็นมูลเป็นมังสืบต่อกันมา
เงินฮ้อย (เงินโบราณของลาว)
เงินฮาง (เงินโบราณของลาว)
อูบสีเพิ่งทาปากสมัยหลวงพระบาง
เงินพสด้วงเงินโบราณของไทยนสม้ยรัตนโกสินทรตอนต้น
*หลักฐานที่ระบุว่าเป็น“ชาติลาว ในบังคับสยาม”
*ลายนาคในผืนผ้าทอของบ้านทัพคล้าย อันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศลาว”
*หนังสือลาวโบราณที่ปรากฏอยู่ ณ บ้านทัพคล้าย
* พระพุทธรูปไม้ที่วัดทัพคล้าย
* ประวัติหลวงปู่ยอด
สิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นลาวและตัวตน
* การเลี้ยงหอเจ้านายเพื่อระลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษตามธรรมเนียมโบราณที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมา
* ลายบัวเคียในผ้าห่มเอี้ยห้า ของชุมชนทัพค่าย ที่บ่งบอกถึงความเป็น “ลาวพุทธ”
* การตั่มหูก(ทอผ้า)ที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากแม่สู่ลูกจากลูกสู่หลาน
กิจกรรมที่บ่งบอกถึงความเป็น “ลาวพุทธ”
แห่ช้างดอกไม้ไปวัดเพื่อขอขมาพระสงฆ์ในตอนเย็นทุกวันระหว่างสงกรานต์
* เมื่อถวายช้างดอกไม้แล้ว พระสงฆ์ ท่านก็จะแสดงการยกโทษด้วยการหยาดน้ำและให้พร
* การปลุกทุงจะปลุกในวันสุดท้ายของสงกรานต์ เวลา ๐๙.๐๐ น.
เมื่อปลุกทุงแล้วก็จะนิมนต์พระสงฆ์มาหยาดน้ำและให้พรจนครบทุกต้น
ตอนเย็นก่อพระเจดีย์ทราย
ถวายต้นดอกไม้ในพรรษาเพื่อเป็นพุทธบูชาในวันพระ(ขึ้น/แรม ๑๕ ค่ำ)
ทอผ้าจีวร สบง และอังสะเพื่อถวายเป็นผ้าจุลกฐิน หลังออกพรรษาแด่พระสงฆ์
(กิจกรรมส่วนใหญ่มักจะกระทำเพื่อเป็นพุทธบูชาทั้งสิ้น)
เอกสารอ้างอิง
“ที่บ่งบอกว่าชาวทัพค่ายคือไทขาวหรือลาวพุทธ”
(๑) ผลงานวิจัย “คนไทแดงในแขวงหัวพัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ” ของรองศาสตราจารย์สุมิตร ปิติพัฒน์และคณะ ปี ๒๕๔๓-๒๕๔๖
(๒) วารสารเที่ยวเมืองลาว พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๕๐ ได้นำเอาผลการสำรวจของคณะค้นคว้าสังคมลาวที่ขึ้นกับศูนย์กลางแนวลาวรักชาติ เมื่อปี ๒๕๑๓ ตีพิมพ์เผยแพร่ความว่า “ไทขาว” เป็นชนเผ่าหนึ่งใน ๑๒ ชนเผ่าของลาวลุ่มแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว”
(๓) ประวัติชุมชนชาวทัพคล้าย , นายวรวุฒิ ทองสี , พ.ศ. ๒๕๓๘ และจากพงศาวดารเมืองไล ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๙ ของกรมศิลปากร กล่าวว่า แต่เดิมในเขตสิบสองจุไทได้แบ่งการปกครองเป็นสิบสองหัวเมืองหลัก ซึ่งต่างเป็นอิสระต่อกัน ประกอบด้วยหัวเมืองของผู้ไทขาว(ผู้ แปลว่า คน) ๔ เมือง คือ เมืองไล เมืองเจียน เมืองมุน และเมืองบาง นอกจากนี้ยังมีเมืองของผู้ไทดำอีก ๘ เมือง คือ เมืองแถง เมืองควาย เมืองถุง เมืองม่วย เมืองลา เมืองโมะ เมืองหวัด(ว้าด) และเมืองซาง รวมเป็น ๑๒ เมือง ตั้งอยู่ในแถบแม่น้ำดำและแม่น้ำแดง
ปัจจุบัน อยู่ใน “เดียนเบียนฟู” ของประเทศเวียตนามซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของหลวงพระบาง และซำเหนือ ประเทศลาว
**************
สืบค้นและเรียบเรียงโดย
นายวรวุฒิ ทองสี ทัพคล้าย ต.ทัพหลวง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี